ฟ้าทะลายโจร…ความฉมังที่คุณควรรู้

 

ตอนเป็นเด็กฉันเคยเห็นคนแก่ๆ ดื่มน้ำชา แล้วก็แข็งแรงเอาแข็งแรงเอา ด้วยความสงสัยฉันจึงถามและได้คำตอบว่า น้ำชาที่ชงดื่มกันนั้น มันคือพืชที่เรียกว่า ‘ฟ้าทะลายโจร’ โอ้โห แค่ชื่อก็อลังการแล้ว คงต้องหาสรรพคุณมาเสริมความอลังการเสียหน่อยละ
‘ฟ้าทะลายโจร’ เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรงใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม เป็นมัน มีดอกสีขาวเป็นช่อใหญ่ที่ปลายกิ่งและซอกใบ ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก เมล็ดมีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตรฟ้าทะลายโจรถือเป็นสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณจนได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีสรรพคุณมากมายดังต่อไปนี้
– ใช้รักษาโรคหวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากในฟ้าทะลายโจรมีสารชื่อ ไดเทอร์ปีนแลคโตนและสารฟลาโว
นอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์บรรเทาอาการหวัดและกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (หากเป็นหวัดที่เกิดจากฤทธิ์เย็น เช่นมีอาการหนาวข้างในร่างกาย เป็นไข้แบบไม่มีเหงื่อ แล้วใช้ฟ้าทะลายโจร อาจจะทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม)
– ใช้รักษาอาการอักเสบในร่างกาย ฟ้าทะลายโจรมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ต้าน
อนุมูลอิสระและการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นจึงใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาอาการอักเสบต่างๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรครูมาตอยด์และแผลจากโรคเบาหวาน เป็นต้น
– ใช้รักษาอาการที่เกิดจากการติดเชื้อ อย่างเช่น ลดอาการเจ็บคอ เนื่องจากต่อมทอนซิลอักเสบ
– ใช้แก้อาการท้องเสีย ท้องเดิน โรคบิดและอาหารเป็นพิษ ฟ้าทะลายโจรสามารถช่วยขับสารพิษในลำไส้ ลดการ
ระคายเคืองต่อผนังลำไส้ ช่วยลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ
– ใช้รักษาไข้ไทฟอยด์หรือไข้ลากสาดน้อย โดยการรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลครั้งละ 2 เม็ด 3
เวลาก่อนอาหาร ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ ฟ้าทะลายโจรจะช่วยทำลายเชื้อไข้ไทฟอยด์ที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือหรือผนังลำไส้เล็ก
– ใช้รักษาโรคงูสวัด โดยการรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลครั้งละ 2-3 เม็ด ก่อนอาหาร
รับประทานวันละ 3 เวลา ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จะช่วยบรรเทาอาการงูสวัดได้
– ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยการรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลครั้งละ 2-3 เม็ด ก่อนอาหาร
วันละ 3 เวลา และก่อนเข้านอน จะช่วยให้อาการเลือดออกหรือปวดหน่วงๆ หายไป แล้วยังทำให้การขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วย
– ใช้รักษาอาการร้อนใน โดยการนำใบแก่ของฟ้าทะลายโจร ประมาณ 15 กรัม และใบเตยอีก 15 กรัม ต้มกับน้ำ
สะอาด แล้วกรองเอาแต่น้ำ ดื่มก่อนอาหาร 3 มื้อ
– ใช้รักษาอาการผมร่วง โดยการนำใบฟ้าทะลายโจร 6-7 ใบ ไปแช่แล้วขยำในน้ำอุ่น จากนั้นให้ชโลมทั่วศีรษะเป็น
เวลา 5-10 นาที แล้วล้างออก ผมที่ร่วงจะดีขึ้น
– ใช้รักษาแผลสดและฝี โดยการนำใบแก่ของฟ้าทะลายโจรประมาณ 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ใส่เกลือเล็กน้อย
เหล้าขาว ½ ถ้วยยา และน้ำ ½ ช้อนชา คนให้เข้ากัน กรองแยกกาก แล้วนำไปพอกบนแผลและฝี จากนั้นใช้ผ้าสะอาดพันทิ้งไว้และให้เปลี่ยนกากเรื่อยๆ จนแผลหายดี
การใช้ฟ้าทะลายโจรมีข้อควรระวังคือ
1. การรับประทานฟ้าทะลายโจรอาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือวิงเวียนศีรษะได้
เนื่องจาก ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ค่อนข้างแรง
2. การรับประทานฟ้าทะลายโจร เพื่อใช้รักษาอาการใดๆ ก็ตาม หากรับประทานติดต่อกันเกิน 3 วัน แล้วอาการ
นั้นๆ ไม่ดีขึ้น ควรจะหยุดรับประทาน แล้วรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
3. การรับประทานฟ้าทะลายโจร หากจำเป็นจะต้องรับประทานต่อเนื่องเกิน 7 วัน ควรจะรับประทานคู่กับน้ำขิง เพื่อ
ลดการเกิดผลข้างเคียง เพราะน้ำขิงมีฤทธิ์ร้อนจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น
4. ไม่ควรจะใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ที่มีปัญหาความดันเลือดต่ำ เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณลดความดันเลือด
หากฝืนใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจจะทำให้มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมหรือมึนงงสับสน
5. ฟ้าทะลายโจรมีผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังนั้นจึงควรจะสังเกตอาการหรือสังเกตความผิดปกติที่เกิดหลังใช้ ผู้ที่แพ้
ฟ้าทะลายโจรจะมีอาการเริ่มตั้งแต่ผื่นขึ้น หน้าบวม ตัวบวม หายใจไม่ออกและถึงขั้นเสียชีวิต
6. สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ไม่ควรจะใช้ฟ้าทะลายโจร เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์และทำให้เกิด
ความผิดปกติได้
ในการใช้ฟ้าทะลายโจรหากเกิดอาการต่างๆ ตามที่กล่าว ควรจะหยุดใช้ทันที แล้วอาการจะดีขึ้นภายใน 3-4 ชั่วโมง
เพราะฟ้าทะลายโจรจะไม่ตกค้างในร่างกาย
สำหรับโรคและอาการที่มักจะใช้ฟ้าทะลายโจรก็คือ โรคหวัด ฉะนั้นจึงมีข้อแนะนำการใช้ฟ้าทะลายโจรแก้โรคหวัดดังนี้ เมื่อมีอาการแสบคอ เจ็บคอ ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของโรคหวัด ให้รับประทานฟ้าทะลายโจรทันที เพื่อให้ฟ้าทะลายโจรไปช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้หายจากโรคหวัดเร็วขึ้น โดยวิธีการรับประทานฟ้าทะลายโจรแบบชนิดแคปซูลคือ รับประทานครั้งละ 3-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สุขภาพจะดีไม่ใช่เพียงแค่รับประทานยาหรือสมุนไพร แต่มันคือการดูแลสุขภาพ อาหารการกิน ออกกำลังกายและการพักผ่อนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เท่านี้ ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ยาใดๆ เลยจ้ะ